ขณะที่สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนยืดเยื้อเข้าสู่ปีที่ 2 ทั่วโลกเริ่มเห็น “จีน” เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นในการแสวงหาทางออกให้แก่ความขัดแย้งครั้งนี้ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์จากบรรดาชาติตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐฯ
ที่ตั้งคำถามว่าปักกิ่งสมควรหรือไม่ที่จะยื่นมือมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยยุติสงคราม หลังจากที่ถูกตะวันตกกดดันมาตลอด 1 ปีให้ประณามการกระทำของรัสเซีย ล่าสุด เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว กระทรวงการต่างประเทศจีนได้เผยแพร่ “แผน 12 ประการ” เพื่อยุติการเผชิญหน้าทางทหารและฟื้นฟูสันติภาพในวาระที่สงครามดำเนินมาครบ 1 ปีเต็ม โดยข้อเสนอของจีนมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้
1.เคารพในอธิปไตยของทุกๆ ประเทศ
2.ละทิ้งแนวคิดแบบสงครามเย็น
3.หยุดใช้ความรุนแรง
4.ฟื้นฟูกระบวนการเจรจาสันติภาพ
5.แก้ไขวิกฤตด้านมนุษยธรรม
6.ปกป้องพลเรือนและเชลยสงคราม
7.ปกป้องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ให้มีความปลอดภัย
8.ลดความเสี่ยงในทางยุทธศาสตร์
9.อำนวยความสะดวกในการส่งออกธัญพืช
10.ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรฝ่ายเดียว
11.รักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมและห่วงโซ่อุปทาน
12.สนับสนุนการฟื้นฟูประเทศหลังสงครามจบลง
จีนยังย้ำเตือนว่า “จะต้องไม่มีสงครามนิวเคลียร์เกิดขึ้น” พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายสนับสนุนให้รัสเซียและยูเครน “ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน และรื้อฟื้นการเจรจาทางตรงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
ข้อเสนอของจีนซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากรัสเซียและองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ถูกบรรดาพันธมิตรยูเครนออกมา “สับเละ” ตั้งแต่ต้นมือ เริ่มจาก เยน สโตลเตนเบิร์ก เลขาธิการองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่ระบุว่าจีน “ไม่มีเครดิตความน่าเชื่อถือมากพอ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยประณามการรุกรานที่ผิดกฎหมายของรัสเซียแม้แต่ครั้งเดียว” ขณะที่ แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมาให้สัมภาษณ์เย้ยหยันข้อเสนอแรกของจีนที่ให้เคารพอธิปไตยของทุกประเทศ และชี้ว่าจีนกำลังเล่น 2 บทบาทพร้อมกัน โดยด้านหนึ่งพยายามวางตัวเป็นกลางและแสวงหาสันติภาพ แต่อีกด้านหนึ่งยังคงเผยแพร่วาทกรรมบิดเบือนของรัสเซียเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้
บอนนี เกลเซอร์ ผู้อำนวยการโครงการเอเชียประจำกองทุน German Marshall Fund ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า ข้อเสนอสันติภาพของจีน “เป็นแค่การสรุปเนื้อหาสั้นๆ จากสิ่งที่จีนได้แถลงไปทั้งหมดในปีที่ผ่านมา”
“ปักกิ่งยังคงอ้างว่านาโตคือต้นเหตุของสงคราม และปฏิเสธที่จะประณามรัสเซีย นี่มันก็แค่เหล้าเก่าที่เอามาเทใส่ขวดใหม่เท่านั้น”
แม้จีนจะประกาศจุดยืนเป็นกลางในสงครามครั้งนี้ แต่นักวิเคราะห์มองว่าปักกิ่ง “ถือหาง” มอสโกอยู่กลายๆ ด้วยการตำหนิมาตรการคว่ำบาตรของตะวันตก ยกระดับความร่วมมือทางการค้ากับมอสโก ขณะที่สื่อจีนเองก็เผยแพร่ถ้อยคำโฆษณาชวนเชื่อของมอสโกเกี่ยวกับสงครามในยูเครนอยู่เนืองๆ
ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา บริษัทที่รัฐบาลจีนควบคุมได้จำหน่ายโดรนที่ไม่ใช่เพื่อการสังหาร (non-lethal drones) และเครื่องไม้เครื่องมืออื่นๆ ให้ทั้งรัสเซียและยูเครน ซึ่งทำให้มอสโกจำเป็นต้องหันไปพึ่งพา “อิหร่าน” ในด้านอาวุธแทน แต่สหรัฐฯ เชื่อว่าแนวปฏิบัตินี้ของจีนอาจกำลังมาถึงจุดเปลี่ยน
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อ้างว่าจีนกำลังพิจารณาส่งอาวุธเพื่อการสังหาร (lethal support) ไปช่วยมอสโกพลิกเกมสงคราม ขณะที่ปักกิ่งออกมาปฏิเสธทันควัน พร้อมกล่าวหาสหรัฐฯ ว่าจงใจยกระดับความขัดแย้งด้วยการประเคนอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่ามหาศาลให้เคียฟ
แม้เรื่องที่จีนเตรียมส่งอาวุธช่วยรัสเซียจะยังเป็นเพียงข้อครหาลอยๆ จากฝ่ายสหรัฐฯ แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนให้ข้อมูลกับเอเอฟพีว่า ทฤษฎีนี้ “มีความน่าเชื่อถือพอสมควร” และหากจีนตัดสินใจสนับสนุนอาวุธให้รัสเซียจริงก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของสงคราม
การเดินทางเยือนปักกิ่งของประธานาธิบดี อเล็กซานเดอร์ ลูคาเชนโก แห่งเบลารุสในสัปดาห์นี้ เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ทำให้หลายฝ่ายยิ่งตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ลูคาเชนโก คือหนึ่งในพันธมิตรที่เหนียวแน่นเพียงไม่กี่รายของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน และอาจจะนำข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครนไปแจ้งให้ผู้นำปักกิ่งทราบ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลต่อการกำหนดยุทธศาสตร์ของจีนต่อสงครามในยูเครนด้วยเช่นกัน
เบลารุสและจีนมีความสัมพันธ์ในด้านเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นเรื่อยมา ก่อนที่โควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและเศรษฐกิจโลกในวงกว้างในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
สี และลูคาเชนโก ได้ประกาศ “ความเป็นหุ้นส่วนอย่างครอบคลุม” ระหว่างจีนและเบลารุสเมื่อเดือน ก.ย.ปีที่แล้ว และคาดว่าการไปเยือนปักกิ่งของ ลูคาเชนโก ในคราวนี้จะช่วยให้ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคีกลับไปกระชับแนบแน่นตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ก่อนปี 2020
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวซึ่งกำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากก็คือ การที่ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครนออกปากว่าอยากจะพบกับ สี จิ้นผิง เพื่อหารือแผนสันติภาพ 12 ข้อที่จีนเสนอ
“ผมมีแผนที่จะพบกับ สี จิ้นผิง” เซเลนสกี ให้สัมภาษณ์สื่อที่กรุงเคียฟเมื่อวันที่ 24 ก.พ. พร้อมบอกด้วยว่าตนเอง “อยากเชื่อจริงๆ ว่าจีนจะไม่ส่งอาวุธช่วยรัสเซีย”
กระทรวงการต่างประเทศจีนยังไม่ยืนยันหรือให้ข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ผู้นำทั้งสองจะพบกัน และย้ำแต่เพียงว่า “จีนมีการสื่อสารพูดคุยอย่างใกล้ชิดกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”
เซเลนสกี กล่าวชมจีนที่เสนอทางออกให้สงครามครั้งนี้ และคาดว่าผู้นำยูเครนจะใช้โอกาสในการเข้าพบ สี จิ้นผิง เรียกร้องให้จีนใช้อิทธิพลกดดันรัสเซียมากขึ้น รวมถึงขอให้ปักกิ่งดำเนินมาตรการ “อย่างมีความหมาย” เพื่อยุติการสู้รบ
กระนั้นก็ตาม เอลิซาเบธ วิชนิก นักวิจัยอาวุโสจากสถาบัน Weatherhead East Asian Institute แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียมองว่า ที่ผ่านมาจีนยังไม่แสดงท่าทีใดๆ เลยที่บ่งชี้ถึงเจตนาในการบีบมอสโกให้หยุดรุกรานยูเครน
“ในทางตรงกันข้าม (ประธานาธิบดี สี) กำลังพิจารณาแผนการไปเยือนมอสโก และยังคงอ้างคำโฆษณาชวนเชื่อของรัสเซียที่ว่าสหรัฐฯ และนาโตคือต้นเหตุที่ทำให้เกิดสงครามครั้งนี้” วิชนิก ระบุ
อัพเดทข่าว เพิ่มเติม : รัสเซียฟ้องจีน-อินเดียย้ำยูเครนเล็งยั่วยุด้วยเดอร์ตี้บอมบ์ ไบเดนปรามมอสโก